เด็กผู้ชายวัยซน ที่วันวันเอาแต่เล่นซน และมักออกไปเที่ยวนอกบ้านเสมอ มิตรสหายสูงวัยท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยวัยเยาว์
...เราเป็นคนบ้านนอก แถมยังอยู่นอกเมือง เมื่อห้าสิบกว่าปีมาแล้ว บ้านเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อยังไม่มีไฟฟ้าก็ยังไม่มีโทรทัศน์ สมัยนั้นเราใช้ตะเกียงลาน ดีหน่อยก็ตะเกียงเจ้าพายุ ต่อมาพ่อก็ซื้อเครื่องปั้นไฟเข้ามาติดตั้งไว้ในโกดังข้างบ้าน พ่อบอกว่าจะได้หลบฝน น้ำกับไฟเจอกันอันตราย เราเดินสายไฟเข้าบ้าน และหวังว่าสักวันเราคงมีโทรทัศน์เหมือนที่บ้านย่าในเมือง ช่วงปิดเทอมใหญ่ ผมมีโอกาสไปค้างบ้านย่าในเมือง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจหนีไม่พ้นโทรทัศน์ ผมนั่งดูหนังฝรั่ง นั่งดูมวยพร้อม ๆ กับย่า ย่าเป็นผู้หญิงแกร่งดูแลลูกหลานด้วยตัวคนเดียวหลังปู่เสียชีวิตตั้งแต่พ่อยังเป็นเด็กน้อย ย่าชอบดูมวย และมักจะมีญาติผู้น้องของย่ามานั่งดูด้วยเป็นประจำ
ย้อนกลับไปที่บ้านของเรานอกเมือง หลังจากที่พ่อซื้อเครื่องปั้นไฟ สิ่งที่เราต้องทำก็คือตอนเย็นเข้าไปติดเครื่อง ต้องใช้เชือกพันเข้าไปที่แกนแล้วกระตุกให้แรงพอได้จังหวะ เครื่องจึงจะทำงาน เครื่องปั่นไฟของเราเป็นเครื่องเรือหางยาวดัดแปลงต่อแกนวงล้อใสสายพานไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องเรือนี้ต้องคอยระวังบางครั้งเครื่องเร่งขึ้นเอง ถ้าเข้าไปลดความเร็วไม่ทัน หลอดไฟที่ติดไว้ในบ้าน ก็จะระเบิดแตกเพราะกระแสไฟฟ้าที่แรงเกินไป ผมมีหน้าที่ช่วยพ่อคอยเปิด-ปิดเครื่องปั่นไฟ ประมาณทุ่มกว่า ๆ เกือบจะสองทุ่ม พ่อก็จะให้ผมเข้าไปปิดไฟ เครื่องปั่นไฟอยู่ในโกดังข้างบ้าน ตอนเข้าไม่เท่าไรหรอกครับเพราะไฟสว่าง แต่ตอนดับเครื่องแล้วนี้สิ วิ่งกันหน้าตั้งเลย ถ้าลืมถือตะเกียงเข้าไปด้วย ตอนนั้นมีไฟฟ้าแล้วแต่พ่อก็ยังไม่กล้าซื้อโทรทัศน์เข้าบ้าน เพราะเกรงว่าความไม่แน่นอนของเครื่องปั่นไฟจะทำพัง พ่อก็เลยซื้อวิทยุใส่ถ่านมาให้ฟังข่าว ฟังเพลง และฟังละครวิทยุ อันนี้แม่ชอบ พ่อบอกว่ารอไฟหลวงมาก่อนแล้วค่อยซื้อโทรทัศน์
ที่บ้านเรายังไม่มีโทรทัศน์ก็จริงอยู่ แต่ที่ตลาดฝั่งตรงข้ามบ้านมีแล้ว เจ้าของห้องหัวหมอรายหนึ่ง ลงทุนซื้อโทรทัศน์แล้วเปิดให้ชาวบ้านเข้ามาดู มีเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ตอนนั้นผู้ใหญ่ 50 สตางค์ เด็กก็สลึงหนึ่ง ผมติดหนังฝรั่งเสาร์อาทิตย์เรื่องเมาวริค ออกอากาศถ้าจำไม่ผิดก็วันเสาร์ ก็เสียตังค์ไปดูเกือบทุกเสาร์ เด็ก ๆ ก็จะดูหนังฝรั่ง การ์ตูน ส่วนผู้ใหญ่ก็จะดูมวย
ออกจากบ้านไปดูโทรทัศน์บ่อย ๆ จนแม่จับได้ ก็ยังไม่ว่าอะไร แต่กำชับห้ามไปดูอีก เสียเงิน เสียเวลา ผมรับคำ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ยังไม่เสียงาน
ต่อมาร้านกาแฟตรงท่าเรือในตลาดก็ซื้อโทรทัศน์มาเรียกลูกค้า ดื่มกาแฟไปดูโทรทัศน์ไป สบายใจ คอกาแฟก็จะชอบดูมวยวันอาทิตย์ เชียร์กันเสียงลั่นตลาด ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟเป็นร้านถ่ายรูป ซื้อโทรทัศน์เรียกลูกค้าเหมือนกัน ไม่เก็บสตางค์เปิดให้ดูกันฟรี ๆ เด็กก็ยืนออกันอยู่หน้าเต็มไปหมด ไม่ไปเสียตังค์นั่งร้านกาแฟ ร้านค้าฝังตรงข้ามที่เปิดเก็บเงินค่าดู สู้ลูกค้าชอบของฟรีไม่ได้ สุดท้ายก็เลิกเปิดให้คนเข้ามาดู
วันหนึ่งแม่ใช้ให้ไปซื้อของในตลาด ผมซื้อของเสร็จกำลังจะกลับบ้าน เดินผ่านร้านถ่ายรูปที่ตอนนั้นเปิดหนังฝรั่งแนวระทึกขวัญที่ผมยังจำได้ถึงวันนี้ เป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาอยู่ในโลก มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการสูบชีวิตของคนบนโลก แค่มนุษย์ต่างดาวเอามือแตะบ่า ก็จะดูดพลังชีวิตของคนนั้นไปหมด เหลือไว้แต่ซากที่เหมือนตายมาเป็นปี ขณะกำลังดูเพลินจนลืมเวลา ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ก้นพร้อม ๆ กับเสียงของแม่ “เถลไถลอยู่นี้เอง..ไม่รู้จักเวลา..” พร้อมกับเสียงหัวเราะจากผู้คนบริเวณนั้น ...ผมรีบเดินออกมา..เรื่องเจ็บไม่เท่าไรหรอกครับ แต่อายนี้นะสิ.....
![]() |
เครื่องปั่นไฟของผมหน้าตาคล้ายภาพนี้ครับ |
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ผมไม่กล้าเดินผ่านหน้าร้านถ่ายรูปร้านนั้น...นานเลยครับ
นั้นหละครับ ที่ทำให้ผมรู้จักรักษาเวลา ก็ทั้งเจ็บทั้งอาย....แล้วก็ได้ผล ผมไม่เคยผิดนัดอีกเลยนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ภาพประกอบจาก http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=28944.0
จากสุขสาระ ฉบับที่ 204 เดือนมีนาคม 2564
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น