โรคหอบหืดในเด็กและภาวะทางเดินหายใจเรื้อรังอื่น ๆ
การได้รับควันบุหรี่มือสองทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจหลายอย่าง เช่นไอ มีเสมหะหายใจไม่ออกและหายใจไม่ออกในเด็กวัยประถมศึกษา 3 อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในวัยเด็กและอาจจำกัดกิจกรรมของผู้ที่สัมผัสกับอาการเหล่านี้ โรคหอบหืดเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพของเด็กประถมในออสเตรเลีย ในบรรดาเด็กอายุ 5–14 ปี โรคหอบหืดเป็นสาเหตุสำคัญของภาระโรคในปี 2558 สภาวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งชาติ (2540) และ California Environmental Protection Agency (2548) ได้สรุปว่าควันบุหรี่มือสองทำให้เกิดโรคหอบหืด เช่นเดียวกับทำให้โรคหอบหืดรุนแรงขึ้นในเด็ก รายงานของศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกาในปี 2549 ระบุว่าการได้รับควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุของโรคหอบหืดในวัยเด็กและทำให้โรคหอบหืดรุนแรงขึ้น
ข้อมูลทั่วโลกในปี 2547 พบว่าเด็ก (อายุ 0 ถึง 14 ปี) มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดสูงขึ้นหากผู้ปกครองอย่างน้อยหนึ่งคนสูบบุหรี่ ความชุกของโรคหอบหืดมีมากกว่าในเด็กที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีผู้สูบบุหรี่และความเสี่ยงในการเกิดโรคหอบหืดจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนกับจำนวนผู้สูบบุหรี่ในบ้าน ในเด็กที่เป็นโรคหอบหืดผู้ที่สัมผัสกับควันบุหรี่มือสองมีโอกาสเกือบสองเท่าที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการหอบหืดเฉียบพลันและมีผลการทดสอบการทำงานของปอดที่แย่ลง
ในปี 2547-2548 เด็กชาวออสเตรเลียที่เป็นโรคหอบหืด 11% อาศัยอยู่ในบ้านที่มีการสูบบุหรี่ในอาคาร 33คาดว่า 2% ของการเสียชีวิตด้วยโรคหอบหืดในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีในออสเตรเลียในปีนั้นเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่มือสอง
เด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสองอาจมีแนวโน้มที่จะนอนกรน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจขณะหลับ งานวิจัยชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งรายงานว่าอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอแห้งเรื้อรังและการมีเสมหะอาจยังคงอยู่ในวัยผู้ใหญ่ในเด็กที่อยู่กับผู้สูบบุหรี่โดยไม่ต้องสัมผัสกับควันบุหรี่มือสองในภายหลัง
การศึกษาในแอฟริกาเด็กที่สัมผัสกับควันบุหรี่มือสองมีโอกาสติดวัณโรคสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับสารพิษถึง 3 เท่า
รายงานข่าวในเดือนกรกฎาคม 2562 อ้างถึงข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องภาระทางเศรษฐศาสตร์และการพยากรณ์โรคของเด็กก่อนวัยเรียนที่มีภาวะหอบเฉียบพลันและฟังปอดพบเสียงวี้ด โดย รศ.นพ.ภาสกร ศรีทิพย์สุโข สังกัดศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านระบาดวิทยาประยุกต์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สนับสนุนทุนวิจัยโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ศึกษาในเด็กวัย 6 เดือน ถึง 5 ขวบ จำนวน 240 ราย ที่มี “ภาวะหอบเฉียบพลันและหายใจมีเสียงวี้ด” หรือ “โรคหอบหืด” ซึ่งเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ที่เกิดจากความไวผิดปกติของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้น เช่น ทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบ ทำให้มีอาการหายใจลำบาก ไอ หายใจถี่ มีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก พบว่า ในระยะเวลา 1 ปี เด็กกลุ่มดังกล่าว ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินซ้ำ จากภาวะหอบเฉียบพลันฯ มากถึง 67.5% และที่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล มีจำนวน 32.3%
ผลลัพธ์ทางคลินิก พบว่า การเข้าโรงพยาบาลของเด็กมีความสัมพันธ์กับ ผู้ป่วยมีประวัติหอบเหนื่อยมีเสียงวี้ดมาก่อน ผู้ป่วยมีภาวะแพ้โปรตีนนมวัว ภาวะพร่องวิตามินดี ข้อค้นพบที่น่าสนใจหนึ่ง พบว่า “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ซึ่งนำไปสู่การเข้ารับการรักษาฉุกเฉินของเด็ก คือ สภาวะแวดล้อมของผู้ป่วยและครอบครัว จากควันบุหรี่ภายในบ้าน โดยมีการสูบบุหรี่ในบ้านมากถึง 45%”
การวิจัยยังได้ประเมินต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหอบเฉียบพลันฯ พบว่า ต้นทุนเฉลี่ยของการรักษาผู้ป่วยเด็ก 1 ราย เท่ากับ 20,269 บาท เกิดจากการรักษาก่อนมาโรงพยาบาล ระหว่างนอนหรือรักษาตัวในโรงพยาบาล และหลังจากออกโรงพยาบาล โดยการเข้าโรงพยาบาลของผู้ป่วยเด็ก ทั้งประเทศคิดเป็นค่าใช้จ่ายราว 779 ล้านบาท
ภาวะหอบเฉียบพลันในเด็ก ยังมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดตามมาได้อีก จากไรฝุ่น ขนสัตว์ ละอองเกสร มลพิษในอากาศ อาหารทะเล ถั่ว ไข่นม ผู้ปกครองจึงต้องเฝ้าระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกหลานด้วย ตลอดจนใช้ยาควบคุมการอักเสบของหลอดลมตามแพทย์สั่ง และจัดการสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปราศจากควันบุหรี่ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดปัญหาภาวะหอบเฉียบพลันฯ ในลูกหลาน แต่ยังลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย
https://www.tobaccoinaustralia.org.au/chapter-4-secondhand/4-17-health-effects-of-secondhand-smoke-for-infants#x4.17.2
https://www.hfocus.org/content/2019/07/17356
จากสุขสาระ ฉบับที่ 206 เดือนพฤษภาคม 2564
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น