สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันทั่วโลก ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 185 ล้านคน และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 4 ล้านคน นับแต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่
COVID-19 เปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง เพราะทำให้เศรษฐกิจพังทลาย คนตกงาน ขาดรายได้ อดอยาก ไร้ที่อยู่อาศัย ต้องพึ่งความใจบุญของญาติพี่น้องและของเพื่อนมนุษย์เพื่อให้อยู่รอด เพราะรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถเยียวยาปัญหาไม่ว่าสุขภาพ หรือเศรษฐกิจของพลเมืองที่เจ็บป่วยและได้รับผลกระทบได้ทั้งหมด
แม้คนทั่วโลกหวังว่าวัคซีนต้านโควิดจะช่วยนำพาโลกกลับสู่ความปกติ และคลี่คลายมาตรการควบคุมโรคที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา
การระบาดล่าสุดทำให้รัฐบาลหลายประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ที่ญี่ปุ่น แม้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้รัฐบาลกรุงโตเกียวตัดสินใจทำการล็อกดาวน์แต่อย่างใด กลับเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นการด่วน
นับตั้งแต่เกิดการระบาดมา ญี่ปุ่นไม่เคยสั่งทำการล็อกดาวน์แม้แต่ครั้งเดียว เพราะรัฐธรรมนูญของประเทศที่ร่างขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้การปกป้องเสรีภาพพลเมืองอย่างเข้มงวด อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะประชาชนในประเทศคุ้นเคยกับสวมหน้ากากป้องกันอาการแพ้เกสรดอกไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือในช่วงที่มีอาการหวัดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
เราจึงเห็นภาพชาวญี่ปุ่นเกือบทุกคนสวมหน้ากากระหว่างใช้บริการขนส่งสาธารณะในระหว่างวันจึงเป็นสิ่งที่คุ้นตากันอยู่แล้ว แต่เมื่อตกค่ำ ผู้คนมักจะมุ่งหน้าไปตามภัตตาคารและบาร์ และถอดหน้ากากเพื่อสังสรรค์ตามอัธยาศัย ซึ่งก็กลายมาเป็นโอกาสที่เชื้อเดลตาจะแพร่กระจายง่ายขึ้น
ผู้ว่าการจังหวัดต่างๆ ได้เรียกร้องให้รัฐบาล พิจารณาดำเนินมาตรการที่เข้มงวดกว่าที่มีอยู่ แต่ผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า ผู้คนทั่วโลกมีปัญหากับคำสั่งล็อกดาวน์มาตลอด ดังนั้น การเร่งฉีดวัคซีน “คือหนทางเดียวเท่านั้น”
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มเชื่อมากขึ้นว่าไวรัสชนิดนี้จะยังคงอยู่กับเราต่อไป และเชื่อว่าไวรัสชนิดนี้น่าจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น และจะยังคงแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของโลกต่อไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม การระบาดในวงกว้างของ COVID-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ มากขึ้น ถ้าสังเกตกันให้ดี จะเห็นได้ว่าเราเป็นหวัดกันน้อยลง เพราะการล้างมือและสวมใส่หน้ากาก ได้บีบบังคับชาวโลกให้เปลี่ยนตัวเอง จากนี้ไปมีแต่จะมากขึ้น เพราะเป็นความเคยชิน
ภาพประกอบจาก เจเปนไทมส์
ที่มา- วีโอเอไทย
จากสุขสาระ ฉบับที่ 210 เดือนกันยายน 2564
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น