ท่านนบี(ศ็อล) กล่าวว่า “การยิ้ม...ก็คือการให้ทาน” ผู้รู้ทางศาสนาท่านหนึ่งบอกเล่ากับผม ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ผมยังทำงานอยู่แถวสีลม ย่านรถติดอันดับหนึ่งของประเทศ สมัยนั้นผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปจับจองที่นั่งบนรถโดยสารปรับอากาศ
ผมไม่แปลกใจที่ผู้โดยสารทั้งเช้าและเย็นเมื่อได้ที่นั่งก็เตรียมตัวสัปหงกกันยาว ตั้งเวลาไว้ว่าจะตื่นเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ผู้โดยสารที่นั่งหลับ ก็มักจะตื่นกันก่อนถึงป้ายที่จะลงเสมอ และน้อยครั้งที่จะหลับเลยป้าย เป็นเช่นนี้ทุกวัน บางครั้งก็นั่งปลงถึงชีวิตที่ต้องกระเสือกกระสน ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง บางครั้งก็นึกขำที่เห็นผู้โดยสารนั่งหลับกันบนรถเมล์ บางคนนั่งหลับหันหน้าเข้ากระจก บางคนกรนเสียงดัง ทำให้นึกสงสัยว่าเวลาที่ตัวผมหลับจะเป็นเช่นไร คงจะกรนสนั่นรถเป็นแน่
เย็นวันหนึ่งผมออกจากที่ทำงานเร็วกว่าปกติ ผู้คนบนรถเมล์ยังไม่ค่อยแน่น ยังพอมีที่ว่างให้ผมได้นั่ง ก็นั่งสัปหงกเรื่อยมา จนรถเมล์มาจอดรับผู้โดยสารที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ผู้ชายร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำไว้หนวดดกเหนือริมฝีปากก็ก้าวขึ้นมา ด้วยผิวที่คล้ำและหนวดดกหนาเหนือริมฝีปาก ทำให้ชายร่างใหญ่ผู้นั้นดูน่าเกรงขาม ดูราวกับว่าผู้โดยสารอื่น ๆไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา รถจอดรับส่งผู้โดยสารได้อีกสองสามป้ายชายหน้าเข้มหนวดดกก็ได้ที่นั่งไม่ไกลจากประตูทางขึ้นเท่าใดนัก
เมื่อรถมาถึงสะพานควาย เด็กผู้หญิงวัยสามขวบในชุดนักเรียนอนุบาลก็ก้าวขึ้นมาพร้อมกับแม่ของเธอ เธอได้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับชายหนวดดก เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยเธอก็เริ่มชวนแม่คุย ระหว่างนั้นก็มักจะชำเลืองมองไปที่ชายผิวคล้ำหนวดดกเสมอ ในขณะแม่ของเธอออกจะรู้สึกเกรงใจที่ลูกสาวมีทีท่าจะไปรมกวนความเป็นส่วนตัวของชายหนวดดก
เด็กหญิงยังคงชำเลืองมองไปที่ชายหนวดดก ในตอนแรกเมื่อชายหนวดดกหันไปหา เด็กหญิงรีบหลบหน้า และหันไปคุยกับแม่ของเธอ สักพักก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปที่ชายหนวดดก คราวนี้เขายิ้มให้เธอ เด็กหญิงส่งยิ้มตอบกลับ แต่ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยไปกับแม่ของเธอและชำเลืองมาที่ชายหนวดดกพร้อมรอยยิ้มด้วยทีท่าเหมือนจะรับไมตรี เมื่อรถมาถึงโชคชัยสี่ เด็กผู้หญิงกับแม่ของเธอก็ลงจากรถ ก่อนจะลงเธอหันไปหาชายหนวดดกอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า
“หนูลงก่อนค่ะ คุณลุงหนวด บ๊าย บาย...” เด็กหญิงน่ารักโบกมือให้ชายหนวดดกแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับแม่ของเธอ ชายหนวดดกยกมือขวาขึ้นโบกให้เธอด้วยรอยยิ้ม พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ
เด็กหญิงลงจากรถไปแล้ว แต่ยังทิ้งความสดใสอบอุ่นให้ผู้โดยสารที่เหลืออยู่ เด็กหญิงตัวเล็กไม่ได้ทำความรู้จักผู้คนแค่เพียงใบหน้า เธอมีแต่ความซื่อไร้เดียงสา เมื่อใครมีไมตรี เธอพร้อมจะมีให้ ผิดกับผู้ใหญ่ ที่เวลาทำให้เปลี่ยนแปลง หวาดระแวง และหลงลืมไมตรีให้กันและกัน และลืมที่จะให้ทาน (ยิ้ม) แก่กันและกัน
เราหลาย ๆ คนมักใช้ค่านิยม ทัศนคติของตนเอง ตัดสินผู้คน เราจึงมองกันแต่ผิวเผินภายนอก ไม่มองให้ลึกลงไปในเนื้อแท้ตัวตน ทั้งคุณผู้อ่านและผมก็มีโอกาสคิดเช่นนั้น แต่ต่อไปนี้คงต้องไม่มองผู้คนที่รูปกายภายนอก ต้องหยุดคิดกันสักนิด แล้วลองให้ทานกันและกันด้วยรอยยิ้ม..
“ยิ้มเป็นทาน” ของท่านนบี (ศ) ให้เรื่องราวน่าคิดมากมาย
www.muslim4health.or.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น