ปัญหาไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์ถือเป็นไขมันชนิดที่เลวร้ายที่สุด ไขมันทรานส์หรือที่เรียกว่ากรดไขมันทรานส์แตกต่างจากไขมันในอาหารอื่น ๆ ซึ่งเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี" และยังลดคอเลสเตอรอลที่ "ดี" อีกด้วย

ไขมันทรานส์ส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่เติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืช ซึ่งทำให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนนี้มีราคาไม่แพงและมีโอกาสเน่าเสียน้อยกว่า ดังนั้นอาหารที่ทำด้วยน้ำมันนี้จึงมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่า ร้านอาหารบางแห่งใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนบางส่วนในหม้อทอด เพราะไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยเหมือนน้ำมันอื่น ๆ

ไขมันทรานส์ในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายประเภท ได้แก่: ขนมอบเชิงพาณิชย์ เช่น เค้ก คุกกี้ พาย ป๊อปคอร์น พิซซ่าแช่แข็ง แป้งเย็น เช่น บิสกิตและโรล อาหารทอด ได้แก่ เฟรนช์ฟราย โดนัท และไก่ทอด ครีมเทียมกาแฟที่ไม่ใช่นม มาการีนแท่ง

WHO กล่าวว่า รูปแบบของไขมันที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรปีละกว่าครึ่งล้านคน?

ในปี 2020 WHO กล่าวว่า มากกว่า 58 ประเทศได้ออกกฎหมายเพื่อปกป้องผู้คนจากไขมันทรานส์ แต่ประเทศอื่น ๆ กว่า 100 ประเทศก็ควรกำจัดไขมันดังกล่าวออกจากผลิตภัณฑ์อาหารของตนด้วย 

WHO รายงานว่า 2 ใน 3 ของการเสียชีวิตที่เกิดจากการใช้ไขมันทรานส์เกิดขึ้นใน 15 ประเทศ โดยแคนาดา ลัตเวีย สโลเวเนีย และสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ได้กำหนดข้อจำกัดหรือห้ามใช้ไขมันทรานส์ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้ อย่างเช่น อาเซอร์ไบจาน บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อินเดีย อิหร่าน และเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในแถบเอเชีย รวมทั้ง เอกวาดอร์ เม็กซิโก และอียิปต์

สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา กล่าวว่า ไขมันทรานส์มีอยู่ 2 ประเภทที่แตกต่างกัน ประเภทแรกคือ 'ไขมันทรานส์ตามธรรมชาติ' เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิดมีไขมันทรานส์ตามธรรมชาติในปริมาณเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าไขมันทรานส์เหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร

ประเภทที่สองคือ 'ไขมันทรานส์เทียม' หรือที่เรียกว่า กรดไขมันทรานส์ ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่เติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืช บริษัทผู้ผลิตอาหารจะใช้น้ำมันที่มีต้นทุนต่ำชนิดนี้เพื่อให้อาหารคงความสดได้นานขึ้น

ทอม เฟรเดน (Tom Frieden) จาก Resolve to Save Lives กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างไขมันทรานส์เทียมและไขมันอิ่มตัว เขาเรียกไขมันทรานส์ว่าเป็น “สารพิษ” ซึ่งควรกำจัดออกจากแหล่งอาหารให้หมดสิ้นไป ซึ่งแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวที่พบได้ทั่วไปในอาหารหลาย ๆ ประเภท และไม่มีใครเสนอข้อห้ามใด ๆ ในไขมันชนิดนี้ เฟรเดน กล่าวว่า ให้คิดว่ากรดไขมันทรานส์ก็เป็นเสมือนยาสูบในโภชนาการ ซึ่งไม่มีคุณค่าใด ๆ

ในปี 2018 WHO ได้ให้คำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกกำจัดกรดไขมันทรานส์ออกจากแหล่งอาหาร คู่มือดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แทนที่ไขมันทรานส์ด้วยน้ำมัน อย่างเช่น น้ำมันมะกอก สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนถึงอันตรายของไขมันทรานส์ และบังคับใช้นโยบายและกฎหมายในการต่อต้านการใช้ไขมันทรานส์อีกด้วย โดย WHO กล่าวว่า กฎหมายใหม่ได้ปกป้องชีวิตผู้คนมากกว่า 3,200 ล้านคนจากสารดังกล่าว

น้ำมันมะกอก

ประเทศที่ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับไขมันทรานส์ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่ประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ต่ำจนถึงปานกลางหลายประเทศ เช่น บังกลาเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และยูเครน ก็ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับกรดไขมันทรานส์ของ WHO ด้วย

โดยเฟรเดนตั้งข้อสังเกตว่า ประชากร 5 พันล้านคนยังคงเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ไขมันทรานส์ เขากล่าวว่า รัฐบาลประเทศต่าง ๆ สามารถยับยั้งการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันนี้ได้โดยการบังคับใช้นโยบายซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์การอนามัยโลก

ที่มา
https://www.voathai.com/a/6964162.html
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/high-blood-cholesterol/in-depth/trans-fat/art-20046114



สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 220
เดือนเมษายน 2566
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th 

ความคิดเห็น