รายงานจากเว็บไซตบีบีซีไทย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2024 กล่าวว่า เรามักจะได้รับคำเตือนจากแพทย์ ให้คอยสังเกตสีปัสสาวะของตนเองให้ดี เพราะหากมันเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นสีอื่น นอกจากสีเหลืองทองอร่ามตามธรรมชาติ นั่นคือสัญญาณบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติในร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงก็เป็นได้
ทำไมปัสสาวะของคนปกติจึงต้องเป็นสีเหลือง ทีมนักชีววิทยาระดับโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ และจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์ผลการค้นพบล่าสุดว่าด้วยต้นตอของสีเหลืองในปัสสาวะ ลงเผยแพร่ในวารสาร Nature Microbiology ฉบับวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าเอนไซม์ “บิลิรูบิน รีดักเทส” (bilirubin reductase) ซึ่งแบคทีเรียในลำไส้ผลิตขึ้น คือสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองทองอย่างที่คุ้นเคยกัน
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ทราบเพียงว่า สีเหลืองของปัสสาวะเกิดจากกระบวนการขจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ซึ่งเป็นวงจรที่จะเกิดขึ้นทุก 120 วัน โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงจะถูกทำลายในตับ ทำให้เกิดสารสีส้มสดใสชื่อว่า “บิลิรูบิน” (bilirubin) ซึ่งตับจะขับออกไปสู่ลำไส้
จากนั้นเหล่าแบคทีเรียที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบจุลชีวนิเวศ หรือ “ไมโครไบโอม” ของลำไส้ (gut microbiome) จะเปลี่ยนมันให้เป็นสารไร้สีชื่อว่า “ยูโรบิลิโนเจน” (urobilinogen) ซึ่งต่อมาจะเสื่อมสภาพลงจนกลายเป็นสาร “ยูโรบิลิน” (urobilin) ซึ่งก็คือเม็ดสีที่ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองในที่สุด
อย่างไรก็ตามสีของปัสสาวะจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ รวมถึงน้ำจากอาหารที่เราทานแต่ละวัน เช่น ผัก ผลไม้ บางอย่างมีน้ำมาก ก็อาจจะทำให้สีปัสสาวะใสขึ้น ข้อแนะนำควรทานน้ำวันละ 2 ลิตรขึ้นไปจะดีต่อสุขภาพ หากวันไหนสีปัสสาวะเข้มมาก ๆ วันนั้นเราอาจจะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำให้มากหน่อย จะทำให้สีปัสสาวะจางลงได้
โดยส่วนใหญ่แล้ว ปัสสาวะที่มีสีเปลี่ยนไปไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงต่อสุขภาพจนต้องรู้สึกวิตกกังวล หากพบว่าสีปัสสาวะของคุณมีความผิดปกติดังนี้
- ปัสสาวะมีสีชมพูหรือสีแดงเพราะมีเลือดออกปนกับปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีส้ม ผิวหนังและดวงตาเป็นสีเหลือง อุจจาระมีสีซีด อาจเกิดจากตับทำงานบกพร่อง
- ปัสสาวะมีสีที่แปลกไปอย่างไม่มีสาเหตุติดต่อกันนานหลายวัน คุณควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
www.muslim4health.or.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น