พ่อที่เอาใจใส่ดูแลลูกจะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของลูก

การให้ความรักและความเอาใจใส่แก่ลูก เป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาสมอง ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองแก่ลูกช่วยให้พวกเขาเติบโตมีพฤติกรรมที่ดี การอุ้มลูกบ่อยๆ หรือเอาใจใส่ลูกตลอดเวลาไม่ได้ทำให้ลูกเสียนิสัย เมื่อคุณตอบสนองต่อสัญญาณว่าลูกหิว หรือต้องการให้ปลอบ จะทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย

ความรู้สึกปลอดภัย ได้รับความสนใจ ได้รับการปลอบโยนจะเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง ซึ่งจะช่วยสมองเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้

ข้อมูลของศูนย์สุขภาพและการพัฒนาเด็กแห่งชาติในเขตเซตากายะ กรุงโตเกียว ระบุว่าความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการช่วยเหลือดูแลลูกตั้งแต่อายุยังน้อย “ส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของลูกหลาน” ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการมีโครงการต่าง ๆ ที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

“คุณพ่อที่อุทิศตนเพื่อการเลี้ยงลูกตั้งแต่ยังเป็นทารก มักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของเด็กอายุ 16 ปี” สึกุฮิโกะ คาโตะ หัวหน้าแผนกของศูนย์กล่าว

คาโตและเพื่อนร่วมงานวิเคราะห์ผลการสำรวจติดตามผลโดยกระทรวงสาธารณสุขและการศึกษาเกี่ยวกับครัวเรือนจำนวน 18,510 ครัวเรือนที่มีบุตรเกิดในปี 2544 

โดยครอบครัวถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มตามความถี่ที่พ่อทำงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็ก เช่น ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม และอาบน้ำ เมื่อลูกของพวกเขาอายุ 6 เดือน มีการประเมินสภาพจิตของเด็กเมื่ออายุครบ 16 ปี

ผลการวิจัยพบว่า พ่อที่ช่วยเลี้ยงดูลูกอย่างจริงจัง ลูกมีโอกาสเกิดปัญหาทางจิตน้อยกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดมาพร้อมกับพ่อที่ไม่ดูแลลูกอย่างจริงจัง

อีกสองกลุ่มมีโอกาสเกิดปัญหาทางจิตน้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเด็กที่พ่อมักจะละทิ้งหน้าที่ดูแลลูก

การสำรวจของศูนย์ในเดือนธันวาคม 2564 ได้พิจารณาถึงปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19 อีกด้วย ผลการวิจัยพบว่าร้อยละ 9 ถึง 13 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 ในโรงเรียนประถมศึกษา และร้อยละ 13 ถึง 22 ของนักเรียนมัธยมต้น แสดงสัญญาณของภาวะซึมเศร้าปานกลางหรือร้ายแรง


ข้อมูล
https://www.asahi.com/ajw/articles/14823574
https://www.unicef.org/thailand/th/stories/เรื่องควรรู้เกี่ยวกับความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก

สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 231
เดือนพฤษภาคม 2567
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th

ความคิดเห็น