นพ.กษิดิษ ศรีสง่า
มนุษย์เรานั้น ได้อาศัยอยู่ในโลกกันมาเป็นเวลานานมากแล้ว และแพร่กระจายกันจนเต็มโลก กลายเป็นผู้มีอำนาจครอบคลุมโลก จนถึงกับขนานนามโลกนี้ว่าโลกมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์มาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไรยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่มากมาย ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ทั้ง หลาย และนักคิดนักปรัชญาทั่ว ๆ ไปด้วย เนื่องจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ก็หายไปเกือบหมด จึงไม่สามารถสืบรู้ได้เลยว่าเมื่อเริ่มแรกนั้นมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีการแพร่กระจายแบบใด
นักวิทยาศาสตร์บางคน ก็บอกว่า มนุษย์นั้น มีวิวัฒนาการมาจากต้นตระกูลเดียวกับลิง หรือเป็นญาติกับลิงนั่นเอง ต้นคิดเรื่องนี้คือ ชาร์ล ดาร์วิน มีหลาย ๆ คนที่เชื่อตามทฤษฎีนี้ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนเช่นกันที่ยังกังขาอยู่ และมีข้อโต้แย้งมากมาย
ในศาสนาหลาย ๆ ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาที่ถือว่ามีพระเจ้าหรือพระเจ้าสร้างโลกนั้น มักจะกล่าวเสมอว่า มนุษย์ทั้งมวลในโลกนั้น เกิดขึ้นมาจากชายหญิงคู่หนึ่ง ที่มีลูกหลานแพร่กระจายออกไปจนทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน แม้แต่ในนิยายปรัมปรามากมาย ก็มีกล่าวถึง ชายหญิงคู่แรกของโลกที่กลายเป็นบรรพบุรุษของคนทั่วโลก
กล่าวกันว่า แม้ในนิยายปรัมปรา ก็มักจะมีเค้าความจริงปนอยู่ด้วยเสมอ แม้นักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คนจะไม่เชื่อศาสนาก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องให้น้ำหนักกับนิยายปรัมปราเสมอ และต้องพยายามค้นหาความจริงอยู่เสมอว่า สิ่งที่กล่าวในนิยายเหล่านั้น มีความจริงปนอยู่บ้างหรือเปล่า
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และพยายามค้นหาความจริงนั้น เขาพบว่า เราอาจจะสามารถสืบหาต้นตอของต้นตระกูลเราได้โดยอาศัย ดีเอนเอเป็นตัวช่วย
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มนุษย์ทั่วไปนั้น เกิดจากการผสมกันระหว่างโครโมโซมในไข่ของแม่ กับสเปิร์มของพ่อ กลายเป็นเซลล์ที่ถูกผสมแล้ว ซึ่งจะแบ่งตัวไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นทารก และมนุษย์ขึ้นมา
โครโมโซมจึงเป็นตัวที่ส่งผ่านรหัสพันธุกรรม จากมนุษย์รุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งเรื่อย ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด และในสเปิร์มของพ่อนั้น ประกอบด้วย โครโมโซมที่แบ่งเพศเป็น เอกซ์และวาย เอกซ์ผสมกับเอกซ์ในไข่กลายเป็นผู้หญิง ส่วนวาย ผสมกับเอกซ์กลายเป็นผู้ชาย
จะเห็นได้ว่า เอกซ์มาจากผู้หญิงและผู้ชาย แต่วายกลับมาจากผู้ชายเพียงฝ่ายเดียว และวายนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย ตั้งแต่จากสเปิร์มตัวแรกจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นดีเอนเอในสเปิร์ม ก็น่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
แต่ในความเป็นจริงพบว่าจริง ๆ แล้วในสเปิร์มนั้นมี ดีเอนเอบางส่วน ที่เรายังไม่รู้หน้าที่มันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมได้ และมันก็ส่งต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ไปยังลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าหากเราจะติดตามดูผู้ชายคนแรก เราก็จะต้องไล่ตามดูดีเอนเอ ในสเปิร์มนี้ไปเรื่อย ๆ โดยถือว่า ดีเอนเอที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมนั้น ก็คือ ดีเอนเอของมนุษย์รุ่นแรก ๆ ส่วนที่มีเพิ่มเติม ก็คือมนุษย์รุ่นต่อ ๆ มาเรื่อย ๆ ยิ่งมากยิ่งเป็นรุ่นหลัง ๆ มากขึ้น
และที่ใดก็ตามที่มีดีเอนเอหลากหลายชนิดอยู่ในกลุ่มประชากร แสดงว่าดีเอนเอมีการเปลี่ยนแปลงมาก แสดงว่าต้องผ่านเวลาอันยาวนานกว่า ที่นั้นก็น่าจะเป็นแหล่งต้นกำเนิดของมนุษย์ชาติทั้งมวลนั่นเอง
เช่นเดียวกัน ในเซลล์ต่าง ๆ นั้น มีส่วนหนึ่งคือไมโทคอนเดรียซึ่งอยู่ในเซลล์นอกนิวเคลียส เป็นเหมือนแหล่งพลังงานในเซลล์ไมโทคอนเดรียนั้น มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ มันมีดีเอนเอของมันเอง และแบ่งตัวเองได้ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มามีไมโทคอนเดรียของเซลล์ดั้งเดิมอยู่ ซึ่งก็คือเซลล์ของมารดาคนแรกนั่นเอง และด้วยวิธีคิดแบบเดียวกับสเปิร์ม เราก็จะสามารถหาแหล่งกำเนิดของมนุษย์ชาติได้เช่นกัน ด้วยวิธีเดียวกัน
เขาจึงเริ่มเก็บตัวอย่าง เลือดจากคนกลุ่มต่าง ๆ กัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าโบราณต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ ทั่วทุกแห่งในโลก มาวิจัยดู ผลการวิจัยพบว่า แท้จริงแล้ว บรรพบุรุษของคนทั้งโลกนั้น น่าจะเกิดจาก หญิงชายคู่หนึ่งที่อยู่ในอาฟริกา และค่อย ๆ แผ่กระจายออกไปยัง เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา ตามลำดับ
นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว เป็นเสมือนเครื่องยืนยันและสอดคล้องกับอัลกุรอ่าน ซูเราะห์อัน-นิสาอ์ อายะฮ์ที่ 1 ว่า
“โอ้มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย จงเกรงกลัวต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านเถิด ผู้ซึ่งสร้างพวกเจ้ามาจากชีวิตเพียงชีวิตเดียว และจากชีวิตนั้น เราได้สร้างคู่ของมันขึ้นมา และจากคู่นั้น ก็ได้แพร่กระจาย กลายเป็นชายและหญิง อย่างมากมาย”สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 242
เดือนเมษายน 2568
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น