ผำ ซูเปอร์ฟู้ดจิ๋วแห่งสายน้ำ

ไข่ผำ’ หรือ ‘ผำ’ หรืออีกหนึ่งชื่อเรียก ‘ไข่น้ำ’ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Wolffia globosa เป็นพืชน้ำขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ สีเขียวขนาดเล็กคล้ายไข่ปลา ลอยอยู่บริเวณผิวน้ำ มักเกิดในแหล่งน้ำสะอาดที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น ห้วย บึง หนองน้ำ เป็นต้น จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับแหนต่างกันที่มีขนาดเล็ก ไม่มีราก และพบได้ตามแหล่งน้ำสะอาดเท่านั้น จัดเป็นพืชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก

ไข่ผำกระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ในทวีปแอฟริกากลาง ทางใต้ในเกาะมาดากัสการ์ และในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะบริเวณเขตศูนย์สูตรใต้ และตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังพบในประเทศบราซิล ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศออสเตรเลียด้วย

ไข่ผำเดิมเป็นอาหารพื้นบ้าน เมื่อเชฟมิชลินหยิบมาปรุงอาหารทำให้เกิดเมนูหลากหลายขึ้น ไข่ผำอุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็นต่าง ๆ อีกมากมาย ได้แก่

  • เหล็ก แคลเซียม สังกะสี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เสริมกระดูก และช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิต
  • วิตามินบี12 ช่วยเรื่องการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามินเอ ลูทีน (Lutein) ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ช่วยบำรุงสายตา
  • วิตามินบีรวม (B Complex), วิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินเค รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ อีกมากมาย
  • ไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
  • มีระดับแคลอรี, น้ำตาล และไขมันต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
การนำไข่ผำมาปรุงเป็นอาหารยังมีข้อจำกัดในการยอมรับของผู้บริโภค เนื่องจากสุขอนามัยความสะอาด ความปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารเคมียาฆ่าแมลงที่มากับน้ำ จึงทำให้การยอมรับของผู้บริโภคในปัจจุบันลดลง ความนิยมในการบริโภคมีเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุในชนบทเท่านั้น รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคเพียงบางกลุ่มที่ทราบถึงคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญในไข่ผำ หรือผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพโดยนำไข่ผำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือปรุงเป็นอาหาร เนื่องจากในไข่ผำมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงไม่แตกต่างกับในสาหร่ายเกลียวทองหรือน้ำคลอโรฟิลล์ที่วางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดในรูปอาหารเสริมซึ่งมีราคาสูง

ดังนั้น ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหาร ต้องนำไข่ผำมาล้างด้วยน้ำสะอาด ขจัดเศษดินและฝุ่นออกให้หมดก่อน จากนั้นรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วบีบน้ำออกให้หมด และนำไปประกอบอาหารด้วยการปรุงสุก เนื่องจากไม่สามารถรับประทานสดได้ รสชาติของไข่ผำ จะมีลักษณะจืด มัน ๆ หรือรสชาติอาจเหมือนผักวอเตอร์เครส หรือกะหล่ำปลี

แหล่งเพาะเลี้ยงไข่ผำพบในภาคอีสานและภาคเหนือบางส่วน เช่น ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม กำแพงเพชร อุทัยธานี ลำปาง เชียงใหม่ เป็นต้น บ่อเลี้ยงมีเฉพาะกลุ่มแม่ค้าที่เก็บมาขายตลาดสดในท้องถิ่น และเลี้ยงในบ่อดินขายส่งตลาดค้าส่งในในภาคอีสานและภาคกลาง การเพาะขยายพันธุ์ไข่ผำสามารถขยายพันธุ์ได้ตลอดปีขึ้นกับปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยง

บริเวณที่พบบ่อเลี้ยงไข่ผำส่วนใหญ่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ปกคลุม เช่น ต้นก้ามปู มะม่วง และมะขามเทศ ใบไม้ที่แห้งหล่นตกสะสมในพื้นก้นบ่อ

เมื่อย่อยสลายเป็นสารอินทรีย์สะสมในพื้นก้นบ่อ เป็นแหล่งของธาตุอาหารที่สำหรับไข่ผำ และต้นไม้เหล่านั้นยังเป็นร่มเงาลดความเข้มแสงไม่ให้มากเกินไป เนื่องจากไข่ผำเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มแสงรำไรสามารถแตกหน่อขยายพันธุ์แพร่กระจายได้ดีกว่าบ่อที่อยู่กลางแจ้งและมีสีเขียวเข้มมากกว่าบ่อเลี้ยงที่อยู่กลางแจ้ง

รายงานในปี 2564 ระบุว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมผลักดัน "โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม" ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารท็อปเทนของโลก โดยจะนำร่องด้วย “ผำ” หรือ “ไข่ผำน้ำ” (Wolffia) ให้เป็นสุดยอดซูเปอร์ฟู้ดของโลก ด้วยความที่เป็นพืชวัฒนธรรมและอาหารพื้นเมืองของไทย ซึ่งมีมากในภาคเหนือและภาคอีสาน จนได้ฉายาว่า “คาเวียร์เขียว (Green Caviar)”


ข้อมูล
https://iel.co.th/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B3/
https://www.thaipbs.or.th/news/content/309001
https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/food/1161606
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/159226
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%B3


สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 243
เดือนพฤษภาคม 2568
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th 

ความคิดเห็น