แพทย์หญิงจินตนา โยธาสมุทร
เล็กเป็นหญิงอายุ 68 ปี ตื่นนอนมาในเช้าวันหนึ่ง ขณะแปรงฟันมีเลือดออก มีหนังตากระตุก เธอจึงมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อส่องกระจกเงาดูใบหน้าของตนเอง รำพึงในใจว่า “ปีนี้เราแก่ลงไปมาก หน้าตาที่เคยสะสวย แก้มที่เคยดูเต่งตึงในวัยสาวเริ่มมีรอยเหี่ยวย่น รอบดวงตาบวมดำคล้ำ ตาแดงเรื่อ ริมฝีปากขาว ผิวหนังตกกระ ผิวที่เคยอ่อนนุ่มกลับหยาบกระด้างดูออกมีสีเหลือง”
เล็กตัดสินใจไปพบแพทย์ แพทย์จึงขอตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่น ๆ หลังการตรวจแพทย์ลงความเห็นว่า เล็กยังรับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ พร้อมแนะนำว่า ควรรับประทานอาหารให้พอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่รับประทานอาหารรสจัด ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป รับประทานเนื้อติดมันให้น้อยเพื่อควบคุมปริมาณไขมัน ไม่ควรรับประทานน้ำมันจากสัตว์ แต่ควรรับประทานน้ำมันพืช เนื่องจากน้ำมันพืช มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ไม่รับประทานอาหารเค็มจัด จะทำให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้ความดันเลือดสูง หลอดเลือดในสมองอาจแตกหรืออุดตันได้ พยายามรับประทานผักให้มาก รับประทานเนื้อแต่พอดี สำหรับอาหารประเภทแป้ง ไม่ว่าจะเป็นข้าวจ้าวหรือข้าวสาลี เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะเปลี่ยนเป็นกรด รวมทั้งอาหารพวกเนื้อสัตว์เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะเปลี่ยนสภาพเป็นกรดเช่นเดียวกัน แต่อาหารประเภทผักผลไม้ เมื่อผ่านการย่อยจะเป็นด่าง
ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผักผลไม้ให้พอ ๆ กัน จะทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล มีความเป็นด่างและกรดน้อย ๆ ในกระแสเลือด จึงเกิดผลดีต่อร่างกาย ควรรับประทานผักผลไม้ให้มาก รับประทานขนมและน้ำตาลให้น้อย เนื่องจากในผักผลไม้มีวิตามินซีและวิตามินอื่น ๆ อีกมากมาย จึงช่วยเสริมภูมิต้านทานโรค ป้องกันหลอดเลือดไม่ให้แข็งตัว และช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย ควรรับประทานอาหารทุกชนิดน้อย ๆ ไว้ อย่ารับประทานอาหารมาก เคี้ยวให้ละเอียด จะทำให้หัวใจไม่ต้องทำงานหนัก และไม่เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อตามมา
เล็กถามแพทย์ต่อไปว่า “เคยได้ยินมาว่า ตอนเช้าทานพอดี ตอนเที่ยงทานให้อิ่ม และตอนเย็นทานให้น้อย เป็นอย่างไรค่ะ” แพทย์อธิบายว่า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ กระเพาะอาหารยังว่างอยู่ในช่วงเช้า จึงควรรับประทานอาหารเช้าให้อิ่ม เพื่อจะได้ไม่ต้องรับประทานอาหารมื้อเย็นให้มาก ถ้ารับประทานอาหารมื้อเย็นมากเกินไปจะทำให้หัวใจและกระเพาะอาหารต้องทำงานหนัก” เล็กถามต่อไปว่า “คุณหมอค่ะ อาหารมื้อเช้ามีความสำคัญมากทีเดียวหรือค่ะ ดิฉันไม่ค่อยชอบรับประทานอาหารเช้ามานานแล้วจนเกิดความเคยชิน เนื่องจากต้องรีบออกไปทำงานนอกบ้านแต่เช้า ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้า พอไม่ได้ไปทำงานแล้วก็ยังติดนิสัยนี้มา ดื่มแต่กาแฟแก้วเดียว แล้วไปรับประทานอาหารหนักตอน 11.00 น. - 13.00 น. ระยะนี้มีอาการอ่อนเพลียเวียนศีรษะบ่อย จึงอยากให้คุณหมออธิบายถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารเช้าค่ะ”
แพทย์อธิบายว่า “อาหารเช้ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การรับประทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี ทำให้เกิดความสมดุล จึงควรรับประทานอาหารมื้อเช้าให้ได้ปริมาณอาหารให้ครบหมวดหมู่ โดยปริมาณในแต่ละวันเท่ากับ 1/4 หรือ 1/3 ของทั้งวัน โดยประกอบด้วย โปรตีน นม ไข่ ผัก ในปริมาณมาก รับประทานอาหารประเภทไขมันและน้ำตาลในปริมาณน้อย คนที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า จะมีน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ทำให้อ่อนเพลียง่าย หมดเรี่ยวแรง ความคิดถดถอย ความจำเสื่อม ไม่อยากทำงาน ภูมิต้านทานโรคอ่อนแอ อาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับยวดยานหรือการทำงานได้ง่าย มีผู้หญิงบางคนเข้าใจผิดว่า ถ้าไม่รับประทานอาหารมื้อเช้าจะทำให้ลดความอ้วนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากถ้ารับประทานอาหาร 3 มื้อในแต่ละวัน เราจะได้คุณค่าทางอาหารอย่างสมดุล แต่ถ้าเรารับประทานอาหารเพียง 2 มื้อ คุณค่าของอาหารกลับจะไปรวมศูนย์กันอยู่ ทำให้กลับอ้วนมากกว่าเดิมอีก จึงต้องพยายามจัดเวลาในการรับประทานอาหารมื้อเช้าให้มีความเหมาะสม เช่น รับประทานอาหารมื้อเช้า 30 นาที หลังจากตื่นนอน และทำกิจวัตรประจำวันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ท้องว่างกำลังหิวอยู่พอดี ดังนั้นปัญหาของคุณน่าจะอยู่ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมื้อเช้า นอนดึกเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าต้องการเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว ควรให้ความสนใจอาหารมื้อเช้า พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักให้พอเหมาะ มีรูปร่างสมส่วน เวลายืน ศีรษะ ไหล่ พุง และก้นได้สัดส่วน ฟันต้องสะอาด ไม่ผุ ไม่ปวด เหงือกต้องแข็งแรง ไม่มีเลือดออกตามไรฟัน ไม่มีเหงือกเป็นหนอง ผมต้องดกดำเป็นเงางามไม่มีรังแค กล้ามเนื้อผิวหนังเต่งตึงตามวัย เวลาเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว ดวงตาแจ่มใสไม่เกิดการอักเสบหรือมีโรค ทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่าง ๆ มีจิตใจเข็มแข็งสามารถทนต่อสภาพเปลี่ยนแปลงรอบตัวได้ และมีความกระตือรือร้นในการทำงาน สามารถแบกรับภารกิจต่าง ๆ ได้ เป็นอย่างดี”
เล็กลาแพทย์กลับด้วยความโล่งอกว่า เธอไม่มีโรคที่ร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงแต่จะต้องพยายามปรับปรุงตัวบ้าง จึงจะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีสุขภาพจิตดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น