คันตอนกลางคืน อาการไม่ธรรมดา สัญญาณเตือนโรคไตเรื้อรัง

คันตอนกลางคืน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคไต โดยเฉพาะโรคไตเรื้อรัง (CKD) ซึ่งอาการคันมักจะกำเริบตอนกลางคืน ทำให้รบกวนการนอนหลับได้

โรคไตเป็นโรคที่ไตเกิดการบาดเจ็บ หรือมีความเสียหายกับหน่วยไตซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของไตที่ทำหน้าที่กรองน้ำและของเสีย จนทำให้ไตไม่สามารถกรองเลือดได้เหมือนปกติ ซึ่งการบาดเจ็บของไตนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ โรคไตสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มไตวายเฉียบพลัน และ กลุ่มไตวายเรื้อรัง ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีสาเหตุการเกิดโรคที่ต่างกัน

ไตวายเฉียบพลัน (acute kidney injury; AKI) คือไตเสียหายอย่างรวดเร็วทันที ในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน โดยไตวายเฉียบพลันจะทำให้มีอาการปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะสีผิดปกติ ปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ อ่อนเพลีย มึนงงสับสน คลื่นไส้อาเจียน รู้สึกใจสั่น เป็นต้น

สาเหตุของไตวายเฉียบพลันมักเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงไต เช่น

  • ภาวะช็อกจากการเสียเลือดมาก
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด
  • มีกล้ามเนื้อสลายตัวอย่างรุนแรง
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่ม NSAIDS หรือยาสมุนไพรบางชนิด

ไตวายเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ระดับสารน้ำและของเสียในเลือดจะผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ น้ำท่วมปอด และนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด แต่ถ้าได้รับการรักษาได้ทันเวลา ก็มีโอกาสที่ไตจะหายกลับมาเป็นปกติได้

ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตค่อย ๆ เสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะเวลาเป็นปี ๆ หรือหลาย ๆ ปี โดยความน่ากลัวของโรคไตวายเรื้อรัง คือ มักจะไม่มีอาการใด ๆ ในช่วงแรก จนกว่าไตจะเหลือการทำงานแค่ 1 ใน 4 จึงจะเริ่มมีอาการผิดปกติให้ผู้ป่วยรู้ตัว

โรคไตวายเรื้อรังทำให้เกิดอาการผิดปกติได้กับหลาย ๆ ระบบของร่างกาย เช่น ขาบวม ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย น้ำท่วมปอด ปวดหลัง เป็นตะคริว กระดูกพรุน ซีด เลือดออกง่าย มีอาการคันตามผิวหนังที่เรียกว่า uraemic pruritus หรือ CKD-associated pruritus เป็นต้น

สาเหตุของอาการคันมีหลายสาเหตุ

  1. ต่อมเหงื่อลดลง และต่อมไขมันฝ่อ อันเนื่องมาจากโรคไตหรือการกินยาขับปัสสาวะ พบได้บ่อยถึง 60 – 90% ทำให้ไม่มีการขับเหงื่อ ความชุ่มชื้นบนผิวจึงลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะผิวแห้ง มีลักษณะเป็นขุย ระคายเคือง และเกิดอาการคันตามมานั่นเอง
  2. ฟอสฟอรัสในเลือดสูง ซึ่งผู้ป่วยโรคไตไม่สามารถขับออกทางไตได้ ส่งผลให้ระดับแคลเซียมต่ำ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์หลั่งออกมามากกว่าปกติ และเกิดการสะสมตัวของผลึกแคลเซียมและแมกนีเซียมบริเวณผิวหนัง จึงทำให้เกิดอาการคัน
  3. การฟอกไต ทั้งการฟอกไตที่ไม่เพียงพอ หรือการฟอกไตบ่อยอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับภาวะของเสียคั่งของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการคันตามมา นอกจากนี้ยังอาจเกิดมาจากการแพ้ไส้กรองล้างไตอีกด้วย
  4. กลไกทางระบบภูมิคุ้มกัน เกิดภาวะอักเสบทั่วร่างกายจากการเพิ่มขึ้นของเซลล์บางชนิด เม็ดเลือดขาว และเฟอร์ริดิน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดภาวะคันทั่วร่างกาย
  5. ระบบประสาทส่วนปลายทำงานผิดปกติ จึงทำให้เส้นประสาทที่มาเลี้ยงผิวหนังทำงานผิดปกติ นำไปสู่อาการคัน

การปฏิบัติตัวในผู้ป่วยที่มีอาการคัน

  • ตัดเล็บให้สั้น
  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณผิวหนัง เนื่องจากจะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคอาจเป็นมากขึ้นได้
  • ใช้สบู่อ่อนๆ ใช้โลชั่นทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ ผ้าเนื้อหยาบ หรือใยแก้ว ซึ่งอาจระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดอาการคันเพิ่มมากขึ้นได้ ควรใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่รัด
  • ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด
  • ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อควบคุมอาการคัน และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของอาการคัน


 

ข้อมูล
https://praram9.com/th/articles/kidney-failure-disease
http://www.medi.co.th/news_detail.php?q_id=480
https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1082


สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 246
เดือนสิงหาคม 2568
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th 

ความคิดเห็น