บทเรียนจากชาวไร่ที่เลิกปลูกยาสูบ: เส้นทางชีวิตใหม่ของบังดล

บทเรียนจากชาวไร่ที่เลิกปลูกยาสูบ 1

ตอน - เส้นทางชีวิตใหม่ของ 'บังดล' ผู้เลือกความดีงามเหนือผลประโยชน์

ไฟซอล สะเหล็ม 

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวชีวิตของ "บังดล" ชาวไร่วัย 60 ปีจากอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ผู้ซึ่งได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและอาชีพ จากการเป็นผู้ปลูกยาสูบที่สร้างรายได้มหาศาล สู่การเป็นชาวไร่ผู้ปลูกผลไม้ที่ยั่งยืน พร้อมทั้งข้อคิดและบทเรียนที่น่าสนใจจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

ผลที่ได้รับจากการปลูกยาสูบ: รายได้ที่มาพร้อมกับความกังวล

บังดลเริ่มต้นชีวิตในฐานะชาวไร่ผู้ปลูกยาสูบมานานกว่า 30 ปี บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ (ปลูกยาสูบประมาณ 2 ไร่) ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด เขาสามารถปลูกยาสูบได้มากถึง 3,000 กว่าต้น และสร้างรายได้ที่ถือว่า "ดีมาก" ในตอนนั้น เขามีความเชี่ยวชาญในการปลูกยาสูบเป็นอย่างดี สามารถดูแลตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บใบ และมีความรู้ในการประเมินคุณภาพของยาสูบได้อย่างแม่นยำ ภรรยาของเขาก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยดูแลไร่ยาสูบนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายาสูบจะนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคง แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลใจและผลกระทบที่มองไม่เห็น บังดลเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสุขภาพของยาสูบ ทั้งต่อตัวเขาเอง ครอบครัว และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เขายังรู้สึกถึงความไม่สบายใจทางจิตใจและหลักการทางศาสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญ: เมื่อความรู้สึกผิดผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลง

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของบังดลเกิดขึ้นจาก "ความรู้สึกผิด" อย่างลึกซึ้ง และการตระหนักถึง "บาป" ที่อาจเกิดขึ้นจากการปลูกยาสูบ เขาเริ่มคิดถึงผลกระทบระยะยาวที่ยาสูบมีต่อผู้คน และตระหนักว่าการกระทำของเขากำลังส่งผลเสียต่อผู้อื่น ภรรยาของบังดลก็มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ เธอมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอันตรายที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ ความกังวลของภรรยาและความรู้สึกผิดในใจของบังดลได้รวมกันเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจเลิกปลูกยาสูบหลังจากได้เข้าร่วมโครงการลดการพึ่งพิงยาสูบที่เชิญชวนชาวไร่ให้เปลี่ยนผ่านจากการปลูกยาสูบไปสู่อาชีพอื่น นี่คือการตัดสินใจที่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก เพราะหมายถึงการละทิ้งแหล่งรายได้หลักที่ทำมาตลอดชีวิต

จากไร่ยาสูบสู่สวนผลไม้: การสร้างชีวิตใหม่ที่ยั่งยืน

หลังจากตัดสินใจเลิกปลูกยาสูบ บังดลได้พลิกโฉมพื้นที่ 10 ไร่ของเขาให้กลายเป็นสวนผลไม้ที่เขียวขจี เขาเลือกปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองเป็นหลัก แม้ว่าต้นทุเรียนจะยังอ่อนและต้องใช้เวลาในการให้ผลผลิต

ในระหว่างที่รอผลผลิตจากทุเรียน บังดลได้หันมาปลูกกล้วยหอมทอง ซึ่งเป็นพืชที่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง กล้วยหอมทองของเขาสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละสองครั้ง แต่ละเครือมีราคาขายไม่ต่ำกว่า 200 บาท และบางเครืออาจสูงถึง 500 บาท สิ่งที่น่าชื่นชมคือ บังดลเลือกใช้วิธีการทำเกษตรแบบธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีฉีดพ่น เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ

สิ่งที่อยากจะฝากถึงคนที่ปลูกยาสูบอยู่

จากประสบการณ์ตรงของบังดล เขาได้ฝากข้อคิดและคำแนะนำอันทรงคุณค่าถึงผู้ที่ยังคงปลูกยาสูบอยู่:

  • ตัดสินใจอย่างแน่วแน่: บังดลเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจที่เด็ดขาดที่จะเปลี่ยนแปลง และอย่าลังเลหรือเสียดายกับรายได้ในอดีตที่ได้มาจากการงานที่ไม่ดี
  • ตระหนักถึงผลกระทบ: เขาชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการปลูกยาสูบ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมด้วย
  • มองหาทางเลือกใหม่: บังดลเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ายังมีทางเลือกอื่น ๆ ในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพมากกว่าการปลูกยาสูบ

เรื่องราวของบังดลเป็นบทพิสูจน์ว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ หากมีความมุ่งมั่นและกล้าที่จะก้าวออกจากสิ่งเดิม ๆ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ไม่เพียงแต่เพื่อตนเอง แต่ยังเพื่อครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย


คุณผู้อ่านสามารถติดตามได้ที่



สุขสาระออนไลน์ ฉบับที่ 246
เดือนสิงหาคม 2568
มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.)
www.muslim4health.or.th 

ความคิดเห็น