น้ำอัดลมเครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทย อยู่ในกลุ่มอาหารที่ไร้คุณค่าทางอาหาร ทุกยี่ห้อมีองค์ประกอบเหมือนกันคือ น้ำตาล กรดคาร์บอนิก กรดฟอสฟอริก คาเฟอิน สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น และรวมไปถึงสารกันเสีย
อันตรายจากน้ำอัดลม
- ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง (ขนาด 325 ซีซี) มีปริมาณน้ำตาล 8-12 ช้อนชา จะเท่ากับน้ำตาลในลูกอม จำนวน 17 เม็ด อาจทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน หรือปริมาณ 6 ช้อนชา เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพเพราะ ได้รับปริมาณน้ำตาลเข้าไปในร่างกายมากเกินไปซึ่งอาจจะทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวาน การบริโภคน้ำตาลที่สูงเกินไปทำให้มีโอกาสเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจที่สูงขึ้น
- กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลม ที่ทำให้น้ำอัดลมมีฟองซ่า สามารถย่อยสลายหินปูนได้ สามารถทำให้ฟันผุและกระดูกพรุนได้เช่นกัน การสำรวจสภาวะทันตสุขภาพประเทศไทยครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กเล็กอายุ 5 ปี มีฟันน้ำนมผุร้อยละ 75.6 เด็กวัยเรียนอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 และกลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 62.7 สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมกินอาหารหรือขนมที่หาซื้อได้ง่าย เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ กรดคาร์บอนิกมีอยู่ในน้ำอัดลมจำนวนมาก หากดื่มสะสมเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร เด็กจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้
- กรดฟอสฟอริกซึ่งเกิดจากฟอสฟอรัสจากกำมะถัน ในเลือดของคนเรานั้นมีสัดสัดที่ต้องการแคลเซียม 2 ต่อ ฟอสฟอรัส 1 และเมื่อเราดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้เลือดของเรามีปริมาณฟอสฟอรัสมาก เกินไปทำให้เกิดการเสียสมดุลทำให้ร่างกายจะต้องไปดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ เมื่อกระดูกขาดแคลเซียมไปจึงทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
- คาเฟอีนที่อยู่ในน้ำอัดลมนั้นทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นจึงทำให้ร่างกาย สูญเสียแคลเซียมจากการปัสสาวะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นระบบประสาท ทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น มือสั่น อีกด้วย
- สารกันเสีย ในน้ำอัดลมมักนิยมใช้กรดซิตริก ซึ่งสามารถป้องกันการเจริญของแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี แต่เป็นกรดค่อนข้างแรง สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร ส่วนสารแต่งกลิ่น รส สี เป็นสารเคมีสังเคราะห์ และเป็นสารก่อมะเร็ง
นักวิจัยชาวสวีเดนได้เก็บสถิติจากกลุ่มผู้ทดลองวัยกลางคนในช่วงอายุระหว่าง 45-79 ปี ราว 42,400 คน ต่อเนื่องยาวนานกว่า 12 ปี โดยที่กลุ่มผู้ทดลองเหล่านี้ก็รับประทานอาหารและน้ำอัดลมน้ำหวานระหว่างการทดลอง มีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวหน้าใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 3,604 คน และมีกรณีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วถึง 509 คน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงก็ทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมบริโภคน้ำอัดลมทุกวัน ซึ่งจากข้อสรุปพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมวันละ 200 มิลลิลิตร อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 23%
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับร่างกายก็คือน้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดยใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลอีกด้วย เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันเกินจำเป็นจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทั้งในตอนเช้า หลังอาหารกลางวัน และก่อนนอน ด้วยสูตร 2 2 2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนานอย่างน้อย 2 นาที แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และไม่ควรกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาช่องปากสะอาดนานที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคฟันผุในระยะยาวอีกด้วย”
https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/170664-2/
https://www.pptvhd36.com/health/food/2132
สุขสาระ ฉ.205 เมษายน 2564
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น